วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ส่งกระเป๋า F ซ่อม ไปที่ไหน ทำอย่างไรบ้าง

F กระเป๋าสุดรักของเรา แม้เราจะใช้กันอย่างทะนุถนอม บ้างก็ใช้กันแบบจัดเต็มเพราะกลัวไม่คุ้มราคา เมื่อถึงเวลาอาจจะมีการซ่อมบ้างด้วยสาเหตุต่างๆ ในบทความนี้จะบอกว่าเราสามารถเอา F กลับไปซ่อมได้อย่างไรบ้างนะครับ

กรณีว่าอยากจะส่งซ่อมที่ร้าน จะมี F-CARE POINT ครับ โดย F-CARE POINT จะมีอยู่ในแถบเอเชียที่ญี่ปุ่น คือ Shibuya และ Ginza ส่วนในยุโรปเพียบครับ ดูได้สาขาที่รับได้ที่นี่ http://www.freitag.ch/support/servicecycle/carepoint

ก่อนที่คุณจะไปซ่อม...

เราสามารถเอากระเป๋า F ไปซ่อมได้ครับ โดยแบ่งเป็นกรณีดังนี้

  • กรณีที่คุณซื้อไม่เกิน 3 ปี ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามในโลก ให้เก็บใบเสร็จไว้ รวมทั้งอาจจะต้องมีใบรับประกัน ซึ่งเวลาไปซื้อที่ร้าน F Store จะมีบัตรที่บอกวันที่ซื้อสินค้าเอาไว้ โดยการรับประกันเพื่อการซ่อมจะนับจากวันที่ซื้อเป็นวันแรก จะซ่อมเมื่อไหร่ภายใน 3 ปีนี้ก็ซ่อมได้ฟรีไม่เสียเงิน (เก็บไว้ดีๆ หล่ะครับ)
  • หากว่าใบเสร็จหาย ก็จะเข้าเคสการซ่อมที่ต้องเสียเงินปกติ โดยราคาจะอยู่ที่ 55CHF ครอบคลุมเฉพาะลักษณะการซ่อมแรกเท่านั้น (Repair)

ลักษณะการซ่อมมี 2 แบบคือ

  • Repair ซ่อมปกติโดยไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับผ้าใบ (Tarp) เช่น เปลี่ยนซิป, เปลี่ยนตีนตุ๊กแก, เปลี่ยนกระดุม, เปลี่ยนสาย, ด้ายหลุด, ขอบยางเยิน, ป้ายพัง พวกนี้สามารถทำได้หมด โดยเสียค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 55CHF
  • Retarp ซ่อมกระเป๋าแบบมีบางส่วนของผ้าใบเสียหาย เช่น กระเป๋าขาดจนต้องมีการหาผ้าใบมาซ่อมเพื่อใช้งาน ลักษณะการซ่อมนี้จะต้องใช้ความละเอียดและต้องใช้เวลาในการหาผ้าใบที่มาเข้าคู่กันกับกระเป๋าที่ส่งซ่อม ค่าใช้จ่ายในการซ่อมอยู่ที่ 95CHF ใช้เวลา 8-9 สัปดาห์
ทั้ง 2 Cases นี้จะต้องไปส่งและไปรับที่ร้าน F-Store ตามที่เป็น F-CARE POINT เท่านั้น โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง (ต้องไปรับเอง) และในขณะที่กระเป๋าส่งซ่อมอยู่ จะมีกระเป๋าสำรองเพื่อนำมาใช้งานระหว่างการซ่อมอีกด้วยครับ

อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.freitag.ch/support/servicecycle/repair


สำหรับในญี่ปุ่นการซ่อมแซมจะแบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกันคือ

  • หมวดที่ 1 การเปลี่ยนชิ้นส่วน สามารถขอรับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ฟรี ในระยะเวลา 3 ปีหลังการซื้อโดยต้องนำใบรับประกันมาแสดงด้วย ถ้าเกิน 3 ปี จะเสียค่าใช้จ่าย 3672 เยน (1100 บาท)
  • หมวดที่ 2 การซ่อมแซมผ้าใบให้กลับคืนสู่สภาพเดิมหลังการซื้อ กรณีนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาประกันใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีค่าใช้จ่าย 8424 เยน (2500 บาท) ราคานี้รวมค่าเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ด้วย ทั้งหมดจะใช้เวลาซ่อมแซม 4 สัปดาห์
  • ซื้อจากที่ร้านอื่นประเทศอื่นก็สามารถนำมาซ่อมที่ Shop Shibuya ได้ แต่ไม่มีบริการส่งของให้
ขอบคุณข้อมูลจากพี่หน่อย Nnoi Yutisayanuwat ครับ


สำหรับสิงคโปร์

ใครที่ซื้อที่ร้าน Actually หากมีปัญหาภายใน 1 ปี ทางร้านจะเป็นคนรับผิดชอบในการส่งให้ เกินกว่านั้นก็ต้องรับผิดชอบเองครับ

โพสต์วิธีไปร้าน F Dealer ที่สิงคโปรโดยกอบสิน บินรอบโลก http://freitagerth.blogspot.com/2015/04/freitag-dealer-singapore.html

ส่วนใครที่ไม่อยากส่งเมืองนอก เมืองไทยก็พอจะมีร้านที่รับซ่อมบ้าง โดยเฉพาะเคสที่เป็นการซ่อมตีนตุ๊กแก สามารถดูได้ที่ mr.bagfix ตามสาขาด้านล่างครับ http://www.mrbagfix.com/outlets.html


วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

BOB เก่า F74 และ BOB ใหม่ F203 ต่างกันอย่างไร โดยกอบสิน บินรอบโลก

กระเป๋ารุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อช่วงปี 2014 คือ Leland และ ฺBob กระเป๋าสะพายจุเยอะและเป็นที่นิยมสำหรับคนใช้งานไม่แพ้กับรุ่นสะพายรุ่นเล็กอย่าง HW หรือ Lassie ก็จะเจอคำถามเกี่ยวกับความต่างของ Bob เก่าและ Bob ใหม่ว่าแตกต่างกันอย่างไร มีรูปการเปรียบเทียบของ Bob รุ่นเก่าและใหม่มาให้ดูกันครับ โดยกอบสิน บินรอบโลก

-------------------------------------------------------------------------------

อ่านการเปรียบเทียบ Hawaii 5 O รุ่นเก่าช่วงสั้น และรุ่นใหม่ช่วงยาว ต่างกันอย่างไรได้ที่นี่ http://freitagerth.blogspot.com/2014/12/hawaii-5-o-different.html

-------------------------------------------------------------------------------

นอกจากการเย็บสายที่เป็นแบบใหม่แล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือขนาดที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน Bob เก่าด้านซ้ายมีขนาดที่ใหญ่กว่า Bob ใหม่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นทั้งความสูง ความกว้าง และความหนา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีผลกับความจุที่ลดลงเมื่อเป็นรุ่นใหม่


หายไปร่วมๆ 2 นิ้วทั้งความสูงและความกว้าง





ไส้ในที่มีความแตกต่าง เพราะรุ่นเก่านั้นจะมีซองที่สามารถใส่โทรศัพท์รุ่นโบราณได้เท่านั้น แต่รุ่นใหม่เจาะช่องออกมาเฉพาะ ซึ่งใหญ่พอที่จะใส่เครื่องตระกูล Note, iPhone 6 6+ ได้


นี่คือความแตกต่างที่สามารถดูได้อย่างชัดเจน ใครที่ชอบจุเยอะก็คงต้องเลือกตัวเก่านะครับ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีไป Freitag Flagship Store จากสถานีรถไฟ Zurich โดย Alif Amorntaweeporn



ใครที่รัก Freitag หรือ F ที่จริงจัง คงจะต้องมีสักครั้งที่อยากจะไปเยือนร้านสาขาใหญ่ที่สุดที่สวิสเซอร์แลนด์ บทความนี้จะบอกวิธีการไป Flagship Store ที่เมือง Zurich แบบไม่ยากเย็นครับ

บทความต้นฉบับโดย Alif Amorntaweeporn และข้อมูลบางส่วนจาก Pawat Yod Satayanurug

จุดเริ่มต้นของการเดินทาง จะเริ่มที่ Zurich HB (Hauptbahnhof :เฮาพท์บาห์นฮอฟ ) หรือสถานีรถไฟแห่งเมืองซูริค


จากนั้นหาทางลง 41-42 ก่อนลงซื้อตั๋ว ZVV เครื่องจะหน้าตาแบบด้านล่างนี้ แล้วกด Day Pass 24h เพราะว่าจะคุ้มกว่า ราคาประมาณ 8.6 chf (ประมาณ 310 บาท)



จากนั้นลงไปข้างล่างแล้วขึ้นรถฝั่งไหนก็ได้ครับ เพื่อไปสถานี Zurich Hardbrücke หรือ 1 สถานี จาก Zurich HB



พอถึงสถานี ให้หาทางลงครับ แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆจะเจอทางลาดขึ้น เดินขึ้นไปครับจนออกมาข้างนอก เดินตรงไปเรื่อยๆจนถึงถนนแรกให้เลี้ยวขวา




พอเลี้ยวป้าบเดินอีก 1.5 เหนื่อยก็จะเห็น Flagship อยู่ตรงหน้าเราขวามือ (ซึ่งจริงๆ แล้วตอนลงรถก็จะเห็นแล้วครับ)



ขากลับ...ให้กลับมาที่สถานี แล้วขึ้นทางขึ้นที่ 3 ขึ้นสาย S6 กลับมาครับ หรือสังเกตุคันที่ไป Zurich HB ครับก็จะกลับมาที่ Zurich HB, Zurich Hauptbahnhof ครับ

**เพิ่มเติม**
1. เรื่องตั๋ว ถ้ามี Swiss Pass อยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อเพิ่มครับ มันครอบคลุมทุกบริการสาธารณะในซูริคอยู่แล้ว (รถไฟ แทรม เรือ บัส)

2. ถ้าไม่มี Swiss Pass ก็ซื้อตั๋ววัน (Day Pass) ได้ที่ตู้ของ ZVV (หรือ SBB บางตู้) ได้ครับ ถ้าพักในเมือง ก็ซื้อเฉพาะ Zone 110 แบบ 24h แต่ถ้าพักติดสนามบิน ต้องซื้อแบบ 3 โซน (Zone 110 คิดเป็น 2 โซน และ Zone 121)

หวังว่าใครที่ได้ไปควรจะได้ไปสักการะที่นี่สักครั้งครับ...

จากรุ่นสู่รุ่น F48 Hazzard ถึง F303 Hazzard โดย Yod Pawat แห่งทีมสวิส



เปิดตัวไปได้ไม่นานกับ Hazzard รหัสใหม่ F303 ที่มาในโฉมที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หลายๆ คนก็สนใจว่าทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มันแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ Pawat Yod Satayanurug ได้เขียนถึงรุ่นนี้ พร้อมประวัติที่น่าสนใจมากๆ มาให้คนที่ชอบ F ทั้งมือเก่าและมือใหม่ (+มือใหม่ตามกระแส) มาให้ได้รู้ได้อ่านกันครับ

Freitag ได้ออกรุ่น F48 Hazzard มาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 รุ่นนี้ก็ถือเป็นรุ่นที่เรียกได้ว่ายอดฮิตเลยครับ ด้วยฟังก์ชั่นและอรรถประโยชน์ต่างๆ ความปราดเปรียว ความคงทน การใช้งานง่าย ฯลฯ จน Freitag เองเรียกมันว่าเป็นรุ่นที่ “ชาญฉลาด” ที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว (one of the smartest FREITAG bags there ever was)

ด้วยความฮิตของ F48 ก็ไม่เป็นข้อยกเว้นที่ Freitag เองจะไม่พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์นะครับ ทาง Freitag ใช้เวลาเกือบ 5 ปีในการวิเคราะห์และพัฒนา F48 จากความเห็นของลูกค้า จนสุดท้ายกลายมาเป็น F303 Hazzard ตัวปรับปรุงและได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมาครับ

จากภาพนี้ ดูเผินๆ จะเห็นว่ารุ่นเก่า F48 (สีแดง) ดูใหญ่กว่ารุ่นใหม่ F303 (สีเทา) ... จริงครับ รุ่นเก่าดูใหญ่กว่ารุ่นใหม่ แต่นั่นเป็นเพราะรุ่นเก่าใช้ผ้าใบมากกว่าในการตัดเย็บ แต่ความจุยังคงเป็น 15 ลิตรเท่ากันทั้งสองรุ่นครับ

แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีช่องบรรจุหลักอยู่ช่องเดียว แต่รุ่นใหม่จะเพิ่มซิปเพื่อให้สามารถหยิบใช้ Laptop ได้อย่างสะดวกมากขึ้นครับ


Zip stopper
(ตามวงกลมแดง) รุ่นใหม่จะมี zip stopper ไว้สำหรับล๊อคซิปไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เพราะหนึ่งในปัญหาที่ผู้ใช้รุ่นเก่าเสนอมานั้น คือ การที่ต้องควานหาซิปเวลาจะเปิดกระเป๋าครับ

New top handle
(ตามวงกลมเหลือง) รุ่นใหม่จะมีหูหิ้วด้านบน เพื่อให้หยิบกระเป๋าที่ตั้งอยู่ในแนวตั้งได้สะดวกขึ้นครับ

Smaller side handle
(ตามวงกลมฟ้า) รุ่นใหม่จะมีหูหิ้วด้านข้างที่เล็กกว่าครับ



รุ่นใหม่จะไม่สามารถเอาสายสะพายซ่อนเข้าไปในหลังกระเป๋าได้ครับ (ซึ่งก็มีลูกค้าหลายคนบ่นว่าน่าเสียดาย เพราะชอบ feature นี้ของ F48)


ซองใส่ Laptop ของรุ่นใหม่จะถูกเย็บติดแนบไปกับตัวกระเป๋าเลยครับ ไม่ได้เผยอออกมาเหมือนรุ่นเก่า


นี่ก็เป็นการชี้ให้เห็นข้อแตกต่างของกระเป๋าทั้ง 2 ยุค หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจและจัด F ที่ใช่ในแบบของคุณนะครับ

ขอบคุณข้อมูลโดย Pawat Yod Satayanurug